รับซื้อทองมาโดยไม่รู้ว่าเป็นของโจร ต้องคืนทองให้แก่เจ้าของหรือไม่

จำเลยรับซื้อทองคำของโจทก์โดยไม่รู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิดข้อหาลักทรัพย์ แม้จะไม่เป็นความผิดฐานรับของโจร แต่เมื่อทองคำที่จำเลยรับซื้อไว้เป็นของโจทก์ จำเลยจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์เพราะผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน โจทก์ติดตามเอาคืนได้ และแม้ห้างขายทองของจำเลยจะอยู่ในชุมชนการค้า แต่จำเลยมิได้ซื้อทองจากร้านค้า เพราะซื้อจาก ว. ที่นำมาขาย ถือไม่ได้ว่าซื้อทองคำในท้องตลาด จำเลยต้องคืนทองคำแก่โจทก์วัตถุแห่งหนี้ที่จำเลยต้องชำระแก่โจทก์ได้แก่ทองคำที่จำเลยรับซื้อไว้ เมื่อไม่ปรากฏว่า การปฏิบัติการชำระหนี้ด้วยการคืนทองคำเป็นการพ้นวิสัยตั้งแต่เมื่อใด จึงกำหนดให้ใช้ราคาตามราคาขายโดยเฉลี่ยของสมาคมค้าทองคำในวันฟ้อง พร้อมดอกเบี้ยในขณะที่โจทก์ร้องขอให้ชำระหนี้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 213 อันได้แก่วันฟ้อง

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8816/2563

 

โจทก์ฟ้องและแก้ไขฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 กับให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืน 8,068,325.96 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 7,293,402 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีมีมูล ให้ประทับฟ้องจำเลยให้การปฏิเสธและไม่ให้การในคดีส่วนแพ่งศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมในคดีส่วนแพ่งให้เป็นพับโจทก์อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคหนึ่ง (เดิม) จำคุก 1 ปี กับให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืน 5,339,180 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 7 พฤศจิกายน 2558 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 28 เมษายน 2560) ต้องไม่เกินระยะเวลา 1 ปี 5 เดือน ตามที่โจทก์ขอ ค่าฤชาธรรมเนียมในคดีส่วนแพ่งชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับโจทก์และจำเลยฎีกาศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันชั้นฎีกาฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2558 เวลากลางวัน นายสมชาย จำเลยในคดีหมายเลขดำที่ 4226/2558 ของศาลชั้นต้น เข้าไปในบ้านเลขที่ 232 อันเป็นเคหสถานของโจทก์ แล้วลักทองคำแท่ง หนักแท่งละ 10 บาท 20 แท่ง หนักแท่งละ 20 บาท 4 แท่ง และหนักแท่งละ 5 บาท 2 แท่ง สร้อยคอทองคำฝังเพชรและต่างหูเพชร 1 ชุด แหวนเพชร 1 วง สร้อยคอทองคำสองกษัตริย์ 1 เส้น สร้อยคอทองคำลายกระดูกงู 2 เส้น และธนบัตรรัฐบาลไทย ฉบับละ 1,000 บาท 100 ฉบับ ที่เก็บไว้ในบ้านดังกล่าวไป จากนั้นนายสมชายร่วมกับนายวัชรินทร์ จำเลยในคดีหมายเลขดำที่ 647/2559 ของศาลชั้นต้น ทำการสกัดทองคำแท่งที่ลักมาและหลอม เป็นทองก้อนที่โรงงานหลอมทองของนายวัชรินทร์ที่ตำบลบางน้ำจืด อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร วันรุ่งขึ้นนายสมชายกับนายวัชรินทร์นำทองคำที่หลอมแล้วไปขายให้แก่จำเลยที่ห้างขายทองไล้เซ่งเฮงของนางมณี มารดาจำเลย ซึ่งจำเลยเป็นผู้ดูแลกิจการ ในราคา 5,339,180 บาท ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมนายสมชายกับนายวัชรินทร์ดำเนินคดี ซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษนายสมชายข้อหาลักทรัพย์โดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคลหรือทรัพย์หรือโดยผ่านสิ่งเช่นว่านั้นเข้าไปด้วยประการใด ๆ โดยเข้าทางช่องทางซึ่งได้ทำขึ้นโดยไม่ได้จำนงให้เป็นทางคนเข้า โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิด หรือการพาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นการจับกุม ทำให้เสียทรัพย์ และบุกรุก และศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษนายวัชรินทร์ข้อหารับของโจรคดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์หรือไม่ เห็นว่า ในคดีความผิดข้อหารับของโจรนั้น โจทก์มีหน้าที่ต้องนำสืบให้เห็นว่า จำเลยซื้อทองคำดังกล่าวไว้โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิด ไม่ใช่ว่าเมื่อจำเลยเป็นผู้ครอบครองทองคำดังกล่าวแล้ว จำเลยต้องนำสืบแก้ตัวว่าตนไม่รู้ว่าเป็นของที่ได้มาจากการกระทำความผิด ดังนั้น ลำพังพฤติการณ์ที่ได้ความว่า จำเลยรับซื้อทองคำที่มีการหลอมมาก่อนเป็นจำนวนมากก็ไม่อาจรับฟังได้ถึงขนาดที่ว่าจำเลยซื้อทองคำดังกล่าวโดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์ที่ได้จากการกระทำความผิดข้อหาลักทรัพย์ เนื่องจากจำเลยเป็นผู้ดูแลห้างขายทองไล้เซ่งเฮงของนางมณีซึ่งได้รับอนุญาตให้ประกอบอาชีพค้าของเก่า ประเภทเพชร ทอง การที่จำเลยรับซื้อทองคำจากนายวัชรินทร์เป็นจำนวนมากดังกล่าวจึงมิใช่เรื่องผิดปกติทางการค้าของจำเลย ประกอบกับการซื้อขายทองคำดังกล่าวกระทำโดยเปิดเผยในเวลาทำการของร้าน โดยไม่มีการปิดบังหรือซุกซ่อนแต่อย่างใด ทั้งยังได้ความว่านายวัชรินทร์มีอาชีพหลอมทองและมีโรงงานหลอมทองเป็นของตัวเอง ก่อนเกิดเหตุนายวัชรินทร์นำทองคำไปให้จำเลยตรวจสอบความบริสุทธิ์ของทองคำที่ร้านของจำเลยเป็นประจำโดยนายวัชรินทร์เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า ขณะนำ


 

 

 

 

 

 

 

 

 


 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ทองคำไปขายให้แก่จำเลยนั้น พยานอ้างแก่จำเลยว่าเป็นทองคำที่พยานสะสมไว้ นอกจากนี้ยังได้ความจากร้อยตำรวจเอกดำรงศักดิ์ พนักงานสอบสวน เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า การที่จำเลยรับซื้อทองคำในคดีนี้นั้นเป็นราคาตามท้องตลาดซึ่งเป็นไปตามที่สมาคมค้าทองคำระบุไว้โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีการระบุรายละเอียดการซื้อขายทองคำดังกล่าวไว้ในสมุดบัญชีคุมรายการขายทอดตลาดและค้าของเก่า รวมทั้งมีการจัดทำหลักฐานใบรับซื้อทองเก่าที่แนบสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของนายวัชรินทร์ไว้ ข้อเท็จจริงจึงเชื่อว่าจำเลยรับซื้อทองคำของโจทก์ไว้โดยไม่รู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิดข้อหาลักทรัพย์ ดังนี้ นอกจากพยานหลักฐานโจทก์ดังกล่าวข้างต้นแล้ว โจทก์ไม่มีพยานอื่นใดมาสืบสนับสนุนเพื่อพิสูจน์ความผิดของจำเลย พยานหลักฐานโจทก์เท่าที่นำสืบมาจึงมีน้ำหนักน้อย และรูปคดียังมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยกระทำผิดข้อหารับของโจรหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยต้องคืนหรือใช้ราคาทรัพย์แก่โจทก์หรือไม่ และตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยต้องใช้ราคาทรัพย์แก่โจทก์เพียงใด ซึ่งเห็นสมควรวินิจฉัยไปในคราวเดียวกัน และเห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าทองคำที่จำเลยรับซื้อไว้จากนายวัชรินทร์เป็นของโจทก์ จำเลยจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในทองคำ เพราะผู้ขายไม่มีกรรมสิทธิ์ในทองคำนั้น ตามหลักที่ว่าผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของที่แท้จริงย่อมมีสิทธิติดตามเอาทองคำดังกล่าวคืนจากผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 แม้ห้างขายทองไล้เซ่งเฮงของจำเลยจะอยู่ในชุมชนการค้า แต่จำเลยรับซื้อทองคำจากนายวัชรินทร์ที่นำมาขายให้ที่ห้างขายทองของจำเลย โดยมิได้ซื้อจากร้านค้าใดร้านค้าหนึ่งในชุมชนการค้านั้น การที่จำเลยซื้อไว้โดยสุจริตและไม่เป็นความผิดฐานรับของโจรดังที่วินิจฉัยมา ก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยซื้อทองคำในท้องตลาดอันจะได้รับความคุ้มครองด้วยการยึดถือไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1332 จำเลยจึงต้องคืนทองคำดังกล่าวแก่โจทก์ แต่ที่โจทก์มีคำขอให้จำเลยใช้ราคาทองคำเป็นเงิน 7,293,402 บาท ส่วนจำเลยอ้างว่ารับซื้อทองคำไว้ในราคาเพียง 5,339,180 บาท นั้น เห็นว่า วัตถุแห่งหนี้ที่จำเลยต้องชำระแก่โจทก์ได้แก่ทองคำที่จำเลยรับซื้อไว้ ซึ่งได้ความจากทางนำสืบของจำเลยว่า ผ่านการสกัดและหลอม มีความบริสุทธิ์ 99.3 เปอร์เซ็นต์ น้ำหนัก 4,308.2 กรัม จะกลายเป็นหนี้เงินได้ก็ต่อเมื่อการคืนทองคำดังกล่าวแก่โจทก์เป็นการพ้นวิสัย หาใช่คิดคำนวณราคาในเวลาที่จำเลยรับซื้อจากนายวัชรินทร์ดังที่โจทก์และจำเลยกล่าวอ้างแต่อย่างใดไม่ เมื่อไม่ปรากฏว่า การปฏิบัติการชำระหนี้ด้วยการคืนทองคำเป็นการพ้นวิสัยตั้งแต่เมื่อใด จึงกำหนดให้ใช้ราคาพร้อมดอกเบี้ยโดยคำนวณในขณะที่โจทก์ร้องขอให้ชำระหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 213 อันได้แก่วันฟ้อง แต่เนื่องจากราคาซื้อขายทองคำในแต่ละวันมีการเปลี่ยนแปลงเป็นระยะ จึงกำหนดราคาให้ตามราคาขายโดยเฉลี่ยของสมาคมค้าทองคำในวันดังกล่าวอนึ่ง คดีนี้เป็นคดีอาญา จำเลยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 252 แต่จำเลยฎีกาโดยเสียค่าขึ้นศาลมา 118,230 บาท จึงให้คืนค่าขึ้นศาลดังกล่าวแก่จำเลยพิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับความผิดฐานรับของโจร แต่ให้จำเลยคืนทองคำมีความบริสุทธิ์ 99.3 เปอร์เซ็นต์ น้ำหนัก 4,308.2 กรัม แก่โจทก์ หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาทองคำดังกล่าวตามราคาขายโดยเฉลี่ยของสมาคมค้าทองคำในวันฟ้อง (วันที่ 28 เมษายน 2560) แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกิน 7,293,402 บาท ตามที่โจทก์ขอ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับคืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกา 118,230 บาท แก่จำเลย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกานอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ

บทความที่น่าสนใจ

-การด่าตำรวจจราจรว่ารับสินบนจะมีผิดความหรือไม่

-ด่ากันทางโทรศัพท์

-ส่งมอบโฉนดให้เจ้าหนี้ยึดถือไว้เป็นหลักประกันต่อมาไปแจ้งความว่าโฉนดหายมีความผิดต้องโทษจำคุก

-การปลอมเป็นเอกสารจำเป็นต้องมีเอกสารที่แท้จริงหรือไม

-การลงลายมือแทนกันเป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร

-เมื่อครอบครองปรปักษ์ที่ดินแล้ว ต่อมาเกิดที่งอกใครเป็นเจ้าของที่งอกนั้น

-ซื้อที่ดินในหมู่บ้านจัดสรร แล้วไปซื้อที่ดินข้างนอกที่ติดกับหมู่บ้าน
เพื่อเชื่อมที่ดินดังกล่าวเข้ากับที่ดินในหมู่บ้าน

-ขายฝากที่ดินต่อมาผู้ขายได้ปลูกสร้างบ้านบนที่ดิน แต่ไม่ได้ไถ่ภายในกำหนดบ้านเป็นของใคร

-ไม่ได้เข้าร่วมในการแบ่งกรรมสิทธิ์รวม

-ปลูกต้นไม้ในทางสาธารณะสามารถฟ้องให้รื้อถอนออกไปได้

-การทำสัญญายอมในศาลโดยการครอบครองในป่าสงวน

-เจ้าของรวมนำโฉนดที่ดินไปประหนี้เงินกู้ผลเป็นอย่างไร

-การต่อเติมภายหลังปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำ

-คนต่างด้าวก็สามารถครอบครองปรปักษ์ได้

-ผู้รับการให้ด่าว่าผู้ให้ ผู้ให้สามารถเพิกถอนการให้ได้

-ยกที่ดินให้แล้ว แต่มีสิทธิเก็บกินโดยไม่ได้จดทะเบียนผลเป็นอย่างไร

-ด่าว่า จัญไร ถอนการให้ได้

-ฟ้องเรียกค่าขาดกำไร เป็นค่าเสียหายพฤติการณ์พิเศษ

-หนังสือทวงถามส่งไปที่บ้านตามภูมิลำเนาอ้างว่าไม่ได้รับได้หรือไม่

-การยินยอมของเด็กที่ให้ล่วงละเมิดทางเพศ ยังคงเป็นความผิดฐานละเมิด

-ดูหมิ่นเรียกค่าเสียหายได้เท่าไหร่

-ตั้งใจไปกู้แต่เจ้าหนี้ให้ทำสัญญาขายฝากผลเป็นอย่างไร

-คำมั่นจะให้เช่าเป็นการแสดงเจตนาฝ่ายเดียว

-การโอนสิทธิการเช่าทำได้หรือไม่